Khanittha J.
จากเพียงการเป็นผู้ชม สู่นักเขียนที่พร้อมเกาะประเด็นร้อนละครหลังข่าว ซีรีส์ หนัง และรายการทีวี แบบไม่ให้คลาดสายตา
เปิดหนังรักเรื่องโปรดของ 8 คนดังที่ Sanook เอามาฝาก เผื่อเป็นไอเดียไว้ดูหนังรักในช่วงเวลาสุดพิเศษกับคนรู้ใจ หรือจะดูฟินๆ ตามประสาคนโสดก็ไม่ว่ากัน!
ชอบเรื่อง Begin Again (2014) อีกเรื่อง The Fault in Our Stars (2014) เป็นเรื่องของคนที่เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย แล้วเขาก็ไปเจอผู้ชายที่เป็นมะเร็งเหมือนกันแต่หายแล้ว แต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็… มันจบเศร้า มันเศร้ามากๆ จริงๆ ชอบทั้งสองเรื่องเลยนะ มันเป็นความรักที่มีมุมมองคนละแบบ The Fault in Our Stars เหมือนเจอรักสุดท้าย ส่วน Begin Again เหมือนรักที่เริ่มใหม่ จริงๆ มีเรื่อง Me Before You อีกเรื่อง มิกซ์ชอบเรื่องดราม่า จบแบบเศร้าๆ ชอบแนวนี้ เรื่องที่ดูแล้วจมที่สุด น่าจะเป็นเรื่อง Me Before You (2016) มิกซ์เคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า สุดปลายสะพาน พี่ออฟผู้กำกับให้อ่าน เป็นเรื่องการการุณยฆาต แล้ว Me Before You ก็เป็นอย่างนั้น เป็นการที่เขาตัดสินใจว่าเขาจะจบชีวิต ตอนที่เขาบอกว่าจะยอมการุณยฆาตไป เฮ้ยมันยากนะ ถ้าเกิดวันหนึ่งเราตัดสินใจที่จะจบชีวิตของเรา… มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาแหละ มันก็เป็นสิทธิ์ของเราที่จะขอจบชีวิต แต่ว่าความคิดเราจะเดินทางไปถึงตรงนั้นมันต้องยากมากนะ มันดูแล้วก็อินมาก (ตอนแรกเขาไม่ได้รักกัน แต่พอเขารักกันก็ยังเลือกที่จะตัดสินใจแบบนี้) ใช่ๆ มันยากตรงนี้ มันเหมือนเขาได้เจอความสุขอีกก้อนหนึ่ง แต่เขาก็เลือกที่จะจากไป มันก็โหดอยู่นะ (มีอะไรในเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกได้อะไรกลับมาบ้าง) อย่างที่พูดไป สุดท้ายแล้วมันคือเรื่องของความสุข มิกซ์รู้สึกว่ามันคือสมดุลของชีวิต ถ้าเราสมดุลเจอเราก็จะมีความสุข มันก็มองได้หลายมุมมากนะ สุดท้ายต่อให้เขาเจอความรักครั้งใหม่ แต่เขาก็เลือกที่ปิดชีวิต มันคิดได้หลายมุมว่าสุดท้ายแล้ว ชีวิตของเขาต้องการอะไรกันแน่ มันคิดได้หลายมุมจริงๆ แต่เรารู้สึกว่าความสุขของเขาคือความทรงจำในอดีตของเขามากกว่า มันมองได้หลายมุมเนอะ ก็พูดยากครับ
ของผม Love, Rosie (2014) คือดูได้ไม่เบื่อเลย เพราะว่าผมชอบสตอรี่เขา มันดูแล้วไม่เครียด ดูแล้วเห็นพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวที่เดินไปข้างหน้า แล้วกว่าจะมาเจอกัน มีผ่านอุปสรรคผ่านอะไรต่างๆ นาๆ กว่าจะมาเจอกัน ก็เลยชอบ (มีฉากไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษไหม) ฉากที่นางเอกตามไปหาพระเอกที่ต่างประเทศ รู้สึกว่าเขากำลังจะบอกรักอยู่แล้ว แต่มันเจออุปสรรคคือพระเอกกลายเป็นว่ามีครอบครัวแล้ว ซึ่งพระเอกกับนางเอกมันต่างคนต่างรู้ว่าชอบกัน แต่ไม่ใครกล้าพูด สุดท้ายก็ต้อง break-up (ยุติความสัมพันธ์) กันอีกรอบหนึ่ง (มีอะไรในเรื่องนี้ที่เราอยากเอามาปรับใช้ หรือเราอยากตามรอยไหม) ผมเป็นคนชอบเมืองอังกฤษ แล้วเรื่องนี้ก็ถ่ายที่อังกฤษเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าอยากไปตามรอยเหมือนกัน แล้วซีนไหนที่อยากเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ทัศนคติการใช้ชีวิตในเรื่องความรัก ก็คงจะเป็นเรื่องของความอดทน อดกลั้น เวลาเราเจออุปสรรคอะไรอย่าเพิ่งยอมแพ้ ให้สู้ต่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่เรามีใจซึ่งกันและกันก็พอ
ของผมเป็นเรื่อง สบายดีหลวงพระบาง (2008) ผมชอบเรื่องนี้ที่มีความฟีลกู้ดสูงมาก แล้วก็มีเรื่องราวของการเดินทางระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาวด้วย บวกกับผมรู้สึกว่านักแสดงทั้งสองที่เขาเล่นได้ธรรมชาติมาก มีความธรรมดานะ แต่มันธรรมดาที่พิเศษอ่ะ ผมดูแล้วใจฟูมากเลย เลยรู้สึกว่าเรื่องราวมันไม่ได้เข้มข้น แต่เราได้เห็นเส้นทางการเดินทางของตัวละครทั้งสองคน ที่มาเจอกัน ผมมองว่าน่ารักดี (เรื่องนี้ให้แรงบันดาลใจให้เราทำอะไรสักอย่างไหม) ยังไม่มีนะ เรื่องนี้มันเป็นการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ แต่ผมชอบเรื่องที่มันเป็นสองประเทศที่ภาษาใกล้เคียงกัน อาจจะคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เขาก็พยายามช่วยเหลือกัน มันน่ารักดีครับ
ของผมเรื่อง Friend Zone (2019) ครับ เป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนกัน ด้วยตัวละครทั้งสองคน ตัวผู้ชายความสัมพันธ์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นได้แค่เพื่อน แต่สรุปสุดท้ายก็ได้ลงเอิยแฮปปี้ (ใกล้ตัวเราไหมเรื่องนี้) ไม่ค่อยนะครับ แต่ผมชอบด้วยเนื้อเรื่อง ทั้งโรแมนติก แอบดราม่า แล้วตลกด้วย (มีแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ไหม) ผมไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษที่ดูแล้วอยากทำตามนะ ซีนที่ชอบผมชอบซีนงานแต่งตอนท้ายมาก ที่มีเพื่อนมาคุยกัน มันตลกเฮฮามากครับ
ยังไม่ได้เป็นหนังรักที่ชอบที่สุด แต่เป็นเรื่องล่าสุดที่นั่งดูมาตอนขากลับจากญี่ปุ่น ดูเรื่องนี้บนเครื่องบิน ชื่อเรื่องว่า The Last Ten Years (2022) เรื่องคร่าวๆ นางเอกเป็นโรคๆ หนึ่ง เกี่ยวกับปอดซึ่งจะไม่สามารถมีชีวิตได้นาน รู้ตัวว่าเป็นตอนยี่สิบต้นๆ และจะสามารถอยู่ได้ถึงแค่ตอนเกือบๆ สามสิบ แล้วก็ไปพบกับพระเอก ทีนี้นางเอกอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ตัวเองเป็นโรคที่อยู่ได้แค่ช่วง 10 ปี แล้วไปเจอพระเอกที่งานเลี้ยงรุ่น พระเอกหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตจนอยากฆ่าตัวแล้วทั้งคู่ก็เป็นแรงใจให้กันและกัน จนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แล้วค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันไป กิมมิกมันก็คือ นางเอกไม่สามารถบอกพระเอกได้ว่า ตัวเองจะตาย แต่ก็อยากจะใช้เวลาตรงนี้กับพระเอกให้นานที่สุด สุดท้ายก็เหมือนกับถึงเวลาที่ต้องบอกลากันแล้ว เพราะว่าการยิ่งอยู่ต่อมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เขากลัวการตายมากขึ้นเท่านั้น มันก็เลยอินดีครับ ผมนั่งน้ำตาไหลอยู่บนเครื่องบิน แล้วก็หันมาหาเพื่อน (ข้าวตัง) (ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกได้อะไร) รู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ถ้าวันหนึ่งเราเหลือเวลาแค่ 10 ปี เรามีเวลาอย่างจำกัด เราจะเสียใจไหมที่เราไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
ที่ดูซ้ำบ่อยที่สุด คงจะเป็นเรื่อง Notting Hill (1999) ครับ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดูเกิดขึ้นยาก แต่ว่ามันเป็นไปได้แล้ว เขาทำให้เป็นไปได้ มันเป็นฟีลๆ นั้น ตัวพระเอกไปตกหลุมรักนางเอกที่เป็นดาราดัง มันเป็นความสัมพันธ์เงียบๆ ในช่วงแรกที่ไม่เปิดให้ใครรู้ ซึ่งมันดีมาก จนวันหนึ่งข่าวมันฉาวออกมา กลายเป็นนางเอกก็ออกไปจากชีวิตเขา ส่วนเขาก็เฝ้ารอมาเรื่อยๆ จนมาพบว่านางเอกมีแฟนใหม่ไปแล้ว แต่สุดท้ายด้วยเหตุการณ์อะไรต่างๆ ก็ทำให้เขาได้กลับมารักกันเหมือนเดิม มันมีหลายอารมณ์ดีครับ มันไม่ใช่แค่หนังรักอย่างเดียว มีความดราม่า มีความเอาใจช่วยตัวละคร แล้วมันก็เป็นหนังที่ข้าวตังคิดว่ามันดูซ้ำได้เรื่อยๆ เป็นหนังฟีลกู้ด (ประทับใจฉากไหนเป็นพิเศษไหม) จริงๆ มันมีประโยคที่นางเอกพูดครับ เขาพูดว่า สุดท้ายเขาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนต่อหน้าผู้ชายที่เขาชอบ และเพื่อที่จะบอกรักเขา เหมือนเป็นการขอโทษที่แบบครั้งหนึ่งเดินออกจากชีวิตของผู้ชายคนนี้ไป แล้วก็ใช้คำสารภาพตรงนี้ว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ นะ เรากลับมาอยู่ด้วยกันไหม (เรื่องนี้มันให้อะไรเรากลับมา) ความสวยงามของความรัก ความเชื่อลึกๆ ว่ารักแท้มันก็มีอยู่จริง
ของผมเรื่อง Everything Everywhere All At Once (2022) ความรักในเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นความรักของคนสองคน มันมีความรักของนางเอกกับลูก ลูกกับแม่ ความสัมพันธ์ของลูกกับพ่อ พ่อกับอากงอาม่า แล้วก็ความรักต่อตัวเอง หมายถึงว่ามันเป็นหนังที่ทำให้เราเห็นว่า ถ้าชีวิตเราไม่ได้เป็นแบบนี้ มันจะเป็นยังไงได้บ้าง แล้วในชีวิตแต่ละแบบ มันจะมีชีวิตที่มีปัญหาแตกต่างกันออกไป พอเราได้ไปเห็นชีวิตในแบบอื่นๆ แบบที่เราอาจจะคิดว่า เราเป็นแบบนั้นอาจจะดีกว่านี้ เป็นแบบนี้อาจจะดีกว่านั้น ทั้งที่ในเรื่องของความสัมพันธ์ ทั้งเรื่องของอะไรต่างๆ ผมว่ามันทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิตเรามากขึ้น รักตัวเองด้วย รักคนรอบข้างมากด้วย (มีฉากไหนที่ประทับใจสุดๆ บ้าง) จริงๆ ฉากสำคัญมันคือฉากที่ตัวนางเอกได้ไปดูชีวิตของตัวเองว่าถ้าชีวิตเราไม่ได้เป็นแบบนี้ จะเป็นแบบไหนได้บ้าง แล้วก็ได้รู้ว่าชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ เป็นชีวิตที่แย่ที่สุดที่จะเป็นไปได้เลย (ได้แรงบันดาลใจอะไรจากเรื่องนี้บ้าง) ผมว่ามันก็เป็นบทสรุปของเรื่องนี้แหละว่าจริงๆ แล้ว ชีวิตเรามันอาจจะมีมุมอื่นที่ดีกว่านี้ แต่ในทุกแบบมันก็จะมีสิ่งที่มันสำคัญของมัน สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
The Notebook (2004) ค่ะ ร้องไห้ตายไปเลย มันก็นานแล้วนะ เราชอบทุกอย่างเลยทั้งนักแสดงและเรื่องบท จนสุดท้ายที่ทุกอย่างเฉลย ทุกอย่างมันก็จะพรั่งพรูออกมา ทุกอย่างที่เราดูตั้งแต่ต้นมันก็กลายเป็นถาโถมมา เลยรู้สึกว่านี่แหละความรักจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตคนหนึ่งจะมีโอกาสได้เจอความรักที่เป็นรักแท้ขนาดนี้หรือเปล่า ฉากที่ชอบสุดก็เป็นฉากเฉลยแหละ เพราะเรารู้สึกว่าฉากเฉลยมันเป็นตัวบอกหมด ไม่อยากพูดเยอะเผื่อใครยังไม่ได้ดู เผื่อใครอยากจะไปตามดู ฉากท้ายๆ เลยค่ะท้ายๆ (แรงบันดาลใจหลังดู) ไม่ถึงขั้นได้แรงบันดาลใจอะไร แต่พอเราดูทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตคนเรามันจะมีโอกาสได้เจอความรักแบบนี้ไหม คนๆ หนึ่ง จะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์บนโลกใบนี้ที่จะได้เจอความรักแบบนี้ ที่จะอยู่ด้วยกันยันสุดท้ายไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม
ของหมวด หนัง
ติดตามMovie
เช็ครอบหนัง โปรแกรมหนัง หนังใหม่ ดูหนัง ตัวอย่างหนังใหม่
สงวนลิขสิทธิ์ © 2566 บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด