ถึงคิวของหนังดราม่ารสชาติดีที่บางสื่อในต่างประเทศยกให้เป็นหนึ่งในหนังขึ้นหิ้งเชยชมในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 นี้ทีเดียว หนังที่อาจจะอยู่นอกสายตาผู้ชม แต่มาพร้อมกับงานขายการแสดงและเทคนิคโปรดักชั่นที่เรียบง่ายแต่เฉียบคม นี่คือ "Montana Story มอนทานา สายเลือดสายใยรัก" ความเข้มข้นของดราม่าที่ค่อย ๆ กัดกินผู้ชม ที่เคยเป็นที่กล่าวถึงไม่เบาในเทศกาลหนังโตรอนโตเมื่อปีที่แล้ว
Montana Story เป็นเรื่องราวซาบซึ้งสะเทือนอารมณ์ของพี่น้องที่ห่างเหินกัน อย่าง เอริน กับ คาล ที่พวกเขากลับมาที่บ้านฟาร์มที่อยู่ท่ามกลางดินแดนอันเวิ้งว้างของรัฐมอนทาน่า เป็นสถานที่ที่พวกเขาเคยชอบในวัยเด็ก แต่กลับเกลียดชังเมื่อเติบโตขึ้น พร้อมกับเลือกที่จะหนีจากสถานที่แห่งนี้ไป การกลับมาเหยียบที่ของพวกเขาได้มาเผชิญหน้ากับมรดกที่แสนขมขื่นที่เป็นบาดแผลฝังลึกเอาไว้ในใจของครอบครัวเล็ก ๆ ของชาวอเมริกันแท้
นี่คือผลงานของ 2 คู่หูผู้กำกับ "สก็อต แม็กกีห์" กับ "เดวิด ซีเกิล" ที่เคยสร้างความประทับใจให้ผู้ชมมาแล้วในหนัง Bee Season เมื่อเกือบจะ 20 ปีก่อน พวกเขากลับมาหยิบจับสร้างสรรค์งานหนังดราม่าสไตล์ถนัด พร้อมกับพ่วงตำแหน่งเขียนบทหนังเรื่องนี้กันเองด้วย แม้ว่าภาพหน้าหนังอาจจะดูไม่ได้โดดเด่นน่าสนใจอะไร แต่เนื้อในของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างลึกซึ้งและเป็นเหมือนน้ำหยดลงบนหินในทุก ๆ วันอะไรทำนองนั้น
อาจจะต้องบอกตามตรงว่า Montana Story ไม่น่าจะใช่หนังที่เหมาะกับผู้ชมทุกคน เพราะสไตล์ของหนังเรื่องนี้นั้น มีการเล่าเรื่องในรูปแบบค่อนข้างเนื่อยและเดินไปข้างหน้าแบบช้า ๆ ช้าชนิดที่ใครที่ชอบดูหนังแอคชั่นระห่ำพวกนั้นน่าจะปิดหนีและเลิกดูไปเลยก็ได้ แต่บนพื้นฐานของการเล่าเรื่องที่แสนจะขัดใจนั้น เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ผู้สร้างพยายามจะใส่ความละเอียดอ่อนทางอารมณ์และค่อย ๆ เพิ่มมิติให้กับคาแรกเตอร์ตัวละครเหล่านั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีชั้นเชิง
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีบทหนังที่คมคายเป็นหนึ่ง แต่ก็แฝงด้วยชั้นเชิงทับซ้อนที่กลายเป็นจุดตกตะกอนความคิดและความรู้สึกออกมาได้อย่างละเมียดละไม มันมีทั้งอารมณ์แห่งความหดหู ความเศร้า ความสิ้นหวัง และความหวัง ประดับประดาอยู่ในเรื่องนี้เต็มไปหมด และเมื่อมาผนวกเข้ากับงานโปรดักชั่นดีไซน์ที่ง่าย ๆ แต่งานออกมาสวยบาดตาแบบในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นรสชาติที่เพิ่มความละมุนแบบสโลว์ไลฟ์ดีไปอีกอย่าง
นอกจาก Montana Story จะมีภาพเลเคชั่นที่งดงามบาดจิต กับการเลือกสถานที่ถ่ายทำเป็นพื้นที่ที่ราบสูงของเทือกเขาร็อกกี้ หนังยังสอดแทรกประเด่นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองที่นับได้ว่าพื้นที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นดินแดนตั้งต้นของชนเผ่าอินเดียนแดงหรือชนเผ่าอเมริกันแท้ เขาไปแบบผิวเผินได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กันด้วย และเมื่อนำหลาย ๆ องค์ประกอบมารวมกัน ยิ่งช่วยยกระดับให้กับหนังเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี
และอีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คืองานแสดง ที่โดดเด่นจัด ๆ มากในหนังเรื่องนี้ก็คือ 2 นักแสดงนำ "โอเวน ทีค" กับ "เฮลี่ย์ ลู ริชาร์ดสัน" ที่พวกเขาถ่ายทอดออกมาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นทางกายภาพมากนัก เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่เต็มไปด้วยสีสันและรสชาติที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่ขับเคี่ยวการแสดงออกมาในรูปแบบน้อยแต่มาก และทรงพลังได้จากการสื่อสารด้านอื่น ที่ไม่ใช่คำพูดได้เป็นอย่างดี ถือว่าทั้งคู่ได้มาพยุงการแสดงทำให้หนังเรื่องนี้…สอบผ่าน
เอาเป็นว่าในภาพรวมแล้ว Montana Story อาจจะเป็นหนังดราม่าที่เนิบช้ากับการไล่เรียงเล่าเรื่องไปสักนิด แต่ประเด็นของหนังค่อนข้างคมคาย และแอบซ่อนบาดแผลที่เกิดขึ้นระหว่างความสัมพันธ์และสายใยระหว่างครอบครัวได้อย่างหนักแน่น แม้ว่าในรูปแบบการแสดงจะยังต้องใช้การตีความและซึมลึกไปกับตัวละคร หนังอาจจะมีมุมที่ชวนทำให้หลับบ้าง แต่เราก็ต้องยกนิ้วให้กับการแสดงของนักแสดงนำ 2 คนหลักในเรื่องนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Montana Story มอนทานา สายเลือดสายใยรัก
Movie.TrueID METRIC: Montana Story มอนทานา สายเลือดสายใยรัก
————————————-
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa
Unbox Yourself with TrueID
ทรูไอดี โลกความสุขในทุกตัวตนของคุณ